คนเราต้องรู้จักหักใจในสิ่งที่ควรหัก มัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผ่านเลยไป ก็หาประโยชน์อันใดมิได้
– หมื่นสุนทรเทวา ละครบุพเพสันนิวาส (2561)
ความรักเป็นประสบการณ์หนึ่งในชีวิตที่มีคุณค่า ความรักที่แท้จริง คือ ความรักของพ่อ แม่ พี่ น้อง แต่ก็ใช่ว่าจะรับความรักจากคนอื่นไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้มีแค่ครอบครัวเราที่อยู่ในโลกนี้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าเราจะเจอคนที่รักตอนไหนแค่นั้นเอง เมื่อมีความรักแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือความสุข และก็ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่าความทุกข์ย่อมตามติดมาด้วย
การจบความสัมพันธ์ หรือการจากไปของคนที่รัก เป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด เพราะเราต้องประสบพบเจอกับความเศร้า สิ่งเดียวที่จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ ต้องใช้ “เวลา” เพื่อเยียวยาจิตใจ การคิดฟุ้งซ่านกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งไม่มีประโยชน์ เพราะมันไม่สามารถย้อนกลับมาได้ และสิ่งที่สำคัญ คือ เราต้องยอมรับความจริงให้ได้ ถึงแม้มันจะยาก แต่สุดท้ายแล้วเราก็จะดีขึ้นเองในสักวันหนึ่ง
ข้ารู้ดีว่า แม่นายจำปามิอยากลงโทษเจ้าดอก แต่แม่นายคิดไปถึงการณ์หน้า แม้นว่าเจ้าทำความผิดใหญ่ขึ้นอีกก็จักยิ่งอันตรายมากกว่าครั้งนี้ แม้ชีวิตก็จักรักษาไว้ไม่ได้
– ออกญาโหราธิบดี ละครบุพเพสันนิวาส (2561)
การเตือนเมื่อใครสักคนหนึ่ง กำลังทำความผิดอยู่ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะครั้งต่อไปจะได้ระวังมากขึ้น และไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง แต่การเตือนนั้นก็ต้องอยู่ในขอบเขตด้วย ไม่ใช่การเตือนแบบใช้อำนาจ ที่ทำให้ผู้ถูกเตือนรู้สึกอับอาย เช่น ลูกน้องคนหนึ่งทำงานผิดพลาด เจ้านายที่ดีควรเรียกไปพบส่วนตัว และขอให้ทำงานโดยตรวจสอบให้ละเอียดขึ้น ไม่ใช่ประจานต่อหน้าพนักงานคนอื่น ๆ นอกจากพนักงานคนที่ถูกเตือนจะเกิดความอับอายแล้ว ไม่แน่ว่าเจ้านายอาจจะถูกเกลียดเสียด้วย
การตักเตือน ต้องดูถึงอารมณ์ของผู้พูด และผู้ฟังในขณะนั้นด้วย หากอารมณ์ไม่ดีทั้งคู่ อาจเกิดการเข้าใจผิดในเจตนาที่จะสื่อได้ ดังนั้น จึงควรรอในขณะที่ทั้งสองฝ่ายอารมณ์เย็นแล้ว จึงค่อยทำการว่ากล่าว ตักเตือนกันต่อไป แต่ทั้งนี้ก็ต้องฟังคนที่ทำผิดด้วยว่าเขามีเหตุผลอย่างไรถึงทำอย่างนั้น อย่ารีบด่วนสรุปจนเกินไป
หากออเจ้ายึดมั่นในความถูกต้อง ต่อไปเจ้าจะไม่ต้องอายฟ้าดิน ใครจะไปรู้ เจ้าอาจจะมีชื่อจารึกเอาไว้
อีก 10 ปี อีก 100 ปี ก็จะมีคนจดจำออเจ้าได้ ไม่มีวันลืม
– แม่หญิงการะเกด ละครบุพเพสันนิวาส (2561)
การยึดมั่นในความถูกต้อง คือ การทำดีได้โดยไม่เกรงกลัวใคร กล้าคิด กล้าพูด กล้าที่จะแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อเกิดความผิดพลาดก็ยอมรับ และหาทางแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก การกระทำเช่นนี้ก็จะมีคนสรรเสริญเยินยอต่อไปไม่รู้จบ เช่นเดียวกับบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทยหลาย ๆ ท่าน เช่น สมเด็จพระเจ้าตากสิน, สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นต้น
และเช่นเดียวกัน ถึงแม้เราจะเป็นคนธรรมดา ที่ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โต หรือมีหน้ามีตาอะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าเราทำเชื่อมั่นในความดี ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ก็จะมีคนเห็น และสนับสนุน เพื่อเป็นกำลังใจให้เราในการทำความดีต่อไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกของเราด้วยว่าตั้งใจที่จะทำหรือไม่
ทุกศาสนาสอนให้คนทำความดี เกรงบาปบำเพ็ญบุญ พระเจ้าแผ่นดินที่ปกครองคนที่มีศาสนา ย่อมปกครองง่ายกว่าคนที่มิมีศาสนา ขอท่านบาทหลวงทุกท่านสอนศาสนาของท่านไปเถิด อย่าได้เกรงอะไร เราจะไม่กีดขวางราษฎรของเรา ในเรื่องการเลื่อมใสศาสนาใด
– ขุนหลวงนารายณ์ ละครบุพเพสันนิวาส (2561)
ในสังคมที่มีการอยู่ร่วมกัน สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกัน เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ นั่นก็คือ “ศาสนา” อาจต่างกันเพียงว่าคน ๆ นั้น นับถือศาสนาใด อาจจะเป็นศาสนาพุทธ, ศาสนาคริสต์, ศาสนาอิสลาม ฯลฯ ความแตกต่างตรงนี้ ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้คนเราแตกแยก เพราะไม่ว่าศาสนาไหนก็สอนให้ทุกคนเป็นคนดีเหมือนกันนั่นเอง
ส่วนเรื่องการนับถือศาสนา ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม เช่น บางคนนับถือศาสนาพุทธ แต่ชอบการทำกิจกรรมในโบสถ์แบบศาสนาคริสต์ก็หันไปนับถือพระเยซู หรือบางคนอาจจะไม่นับถือศาสนาอะไรเลย อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ความเชื่อของตัวบุคคลเอง
จำคำแม่ไว้นะลูก ทำดีได้ แต่อย่าให้เด่น มันจะเกิดภัย
– คุณหญิงจำปา ละครบุพเพสันนิวาส (2561)
เมื่อเราโตขึ้น เรามักจะเถียงแม่โดยใช้ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แต่เราไม่รู้หรอกว่าฉากหลัง แม่เสียใจแค่ไหน ที่ถูกลูกที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกยอกย้อน หาก “เลิก” เถียง ไม่ได้ ให้เปลี่ยนเป็น “ละ” แทน อย่างน้อย แม่ก็ได้ยินในสิ่งที่ลูกเถียงน้อยลง การที่แม่เตือน หรือสั่งสอนนั่นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เพราะไม่มีใครรักเราเท่าแม่
การอยู่ร่วมกันในสังคมย่อมมีทั้งคนดี และคนไม่ดีปะปนกันไป การที่เราทำดี ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงตัวอวดใคร ๆ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีใครที่หวังดีประสงค์ร้ายกับเรา เพียงแต่เรารู้อยู่แก่ใจว่าเราทำดีก็เพียงพอแล้ว