It is health that is real wealth and not pieces of gold and silver.
ความมั่งคั่งที่แท้จริง คือความมีสุขภาพที่ดี มิใช่การร่ำรวยเงินทอง
– มหาตมะ คานธี
มีคนถาม องค์ดาไลลามะ ว่า “แปลกใจอะไรในชีวิตที่สุด?”
ท่านตอบว่า มนุษย์ …. เพราะ
“เขาสละสุขภาพเพื่อหาเงิน และก็สละเงินเพื่อให้สุขภาพฟื้นกลับมา
เขาห่วงอนาคตมากจนไม่มีความสุขกับปัจจุบัน
ผลก็คือเขาไม่อยู่ทั้งปัจจุบันและอนาคต
เขาอยู่เหมือนจะไม่มีวันตาย และท้ายสุด เขาก็ตายอย่างไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง”
– องค์ดาไลลามะ
บ่อยครั้งที่มนุษยชาติหลงลืมว่าตนเองเมาจากไหน เกิดมาเพื่ออะไร ? และอะไรคือสิ่งที่เขาควรต้องรักษามันไว้ให้ดีที่สุด การย่อโลกใบใหญ่ให้เล็กลงจนมนุษย์สามารถสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็วเช่นเดียวกัน
จากสังคมในอดีตที่มีชีวิตอยู่อย่างพอเพียงด้วยการแบ่งหน้าที่ในการทำงานภายในครอบครัว โญหากินด้วยการล่าสัตว์ ปลูกผัก เย็บเครื่องนุ่งห่มใช้เอง ปลูกสมุนไพรเพื่อใช้เป็นยารักษาโรค ทุกอย่างล้วนทำขึ้นเพียงเพื่อการสร้างความพอเพียงในปัจจัยสี่ที่ต้องใช้ในการดำรงชีวิตเท่านั้น
เมื่อก่อนมนุษย์ทำงานเพื่อหาอาหารกินเป็นหลัก ถ้าไม่ทำงานก็อดตายเป็นคำพูดที่ใช้ในสมัยนั้นได้ดี มนุษย์กินอาหารจากธรรมชาติที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายและใช้เวลากินอาหารร่วมกับครอบครัว เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดีด้วย
แม้วันเวลาจะเปลี่ยนไปนานเท่าไหร่ มนุษย์ก็ยังคงมีเวลา 24 ชม. เท่าเดิม แต่ดูชีวิตของมนุษย์เดี้ยวนี้สิ มีแนวความคิดในการดำเนินชีวิต ที่มุ่งเน้นใช้เวลาออกไปทำงานเพื่อหาเงินมากที่สุด แม้คำพูดว่า ไปทำมาหากินจะยังอยู่ในสมัยปัจจุบัน แต่รูปแบบและวัตถุประสงค์มันต่างกัน มนุษย์ใช้ เวลา 8-10 ชม. หรือมากว่านั้นใช้กับการทำงาน แต่ใช้เวลากินอาหารบนโต๊ะทำงานเพียง 5-10 นาที หรืออาจไม่ได้กินเลย เหตุผลเพราะต้องรีบทำงาน อ้าว! ก็ไอ้ที่มาทำงานนี่เรามาทำงานเพื่อหาเงินกินข้าวไม่ใช่เหรอ ? แต่ทำไมจึงไม่ให้ความสำคัญกับการกินอาหารเลย ความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่กลับตาลปัตรอย่างนี้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมมนุษย์ในปัจจุบัน ถึงมีร่างกายไม่แข็งแรง และเจ็บป่วยเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาลอยู่ตลอดเวลา การแพทย์ต้องเร่งพัฒนาให้ทันกับโรคใหม่ๆที่กำลังเกิดขึ้น โรงพยาบาล ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด บริษัทขายประกันสุขภาพเดินขึ้นมากมายเพื่อมาเสนอแผน รองรับค่าใช้จ่ายของมนุษย์ทำงานทั้งหลาย แม้จะเป็นตามวัฏสงสารของชีวิตที่พระพุทธเจ้าไดตรัสสอนไว้ว่า “คนเราเกิดมา ต้องเกิดแก่เจ็บตาย” ก็จริงอยู่ แต่นั่นก็เป็นวัฏสงสารตามวงจรชีวิตที่เป็นปกติในช่วงชีวิตของคนที่เหมาะสม ตามอายุขัย หาใช่วิถีของมนุษย์สมัยใหม่ที่ดิ้นรนหาเงิน สร้างความมั่งคั่งจนตึงขึ้ง ไม่เลือกที่จะใช้ทางสายกลางที่พอดีๆ
เพราะมนุษย์ในปัจจุบันไม่ได้เพียงพอแค่ปัจจัยสี่เท่านั้นความต้องการ สิ่งอำนวยความสะดวก วัตถุนิยมที่ต้องมีมาเพื่อประดับฐานะทางสังคม อวดความร่ำรวยมั่งคั่ง ทั้งๆที่บางอย่างตนเองก็ไม่ได้ต้องการนัก แต่อยากจะให้คนที่ดูถูกเห็นว่าตนก็มีได้ เหมือนกับที่ วิลล์ สมิธ นักแสดงผิวสีระดับฮอลีวู้ดได้พูดถึงสังคมมนุษย์ในปัจจุบันเอาไว่ว่า
มีคนมากมายใช้เงินที่พวกเขาไม่ได้หาเอง
ซื้อสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ต้องการ เพื่อไปอวดคนที่เขาไม่ได้ชอบ
– วิลล์ สมิธ
น่าแปลกที่สังคมยอมรับและซึมซับค่านิยมนี้ได้อย่างรวดเร็ว จนลืมสังเกตไปว่า เขาเองได้ยอมสละความแข็งแรงของร่างกายจนสูญเสียสุขภาพที่ดีไปจนหมดสิ้จนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ บางคนอาจจะแย้งว่า จะเป็นไรไปฉันมีเงินมากมาย พูดจบก็นำเงินที่ตรากตรำทำงานนั้น ไปจ่ายค่าโรงพยาบาล และจะทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อตั้งต้นสุขภาพคุณแข็งแรงอยู่แล้วไม่ต้องจ่ายค่าหมอ
ชายคนหนึ่งตรากตรำทำงานตั้งแต่จบการปรึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท เขาทุ่มเททำงานตั้งแต่อายุ20 จนถึงอานุ 40 ปี โดยแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ทำงาน 7 วันต่ออาทิตย์ วันละ 20 ชม. แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำยังต้องพกโทรศัพท์เข้าไปด้วยทุกครั้ง ไม่เคยกินข้าวกับครอบครัวจบมื้อ เพราะต้องรับโทรศัพท์เรื่องงาน เขากินไม่เป็นเวลา พักผ่อนไม่พอเพียง เพื่อหวังว่าอนาคตจะได้สุขสบาย
เขาไม่เคยมีความสุขกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน เพราะมัวแต่ทำงาน แทบไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะ ไม่ไปงานสังสรรค์กับใคร จนในที่สุด เขาก็ต้องถูกส่งตัวเข้าห้องไอ.ซี.ยู เพื่อผ่าตัดทำบายพาสหัวใจทั้งสามเส้น
วันที่เขากลับออกมาจากห้องไอซียูและมาอยู่ที่เตียงพักฟื้น ร่างกายเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส เขาไม่มีความสามารถแม้แต่จะขยับร่างกายไปขับถ่ายด้วยตัวเอง ทำอะไรไม่ได้ด้วยตนเอง เขาคิดถึงเงินสะสมในธนาคารที่มีไม่น้อย แต่แล้วก็ต้องถอนใจเมื่อเพื่อสนิทเอาใบถอนเงินธนาคารมาให้เซ็นชื่อเพื่อนำมาจ่ายค่ารักษา น่าตกใจเกือบทั้งหมดที่มีถูกถอนออกไปเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล แล้วตูจะทำมาเพื่ออะไรกันนี่ชายหนุ่มคิด แต่มันก็สายไปเสียแล้ว สำหรับปัจจุบันและอนาคตที่หวังไว้ เพราะคุณหมอได้แนะนำก่อนออกจากโรงพยาบาลว่า “ ผ่าตัดแล้ว คุณจะออกไปทำงานตามปกติไม่ได้นะครับ เพราะหัวใจและร่างกายคุณไม่แข็งแรงพอ ขอแนะนำให้พักฟื้นร่างกายและใช้ชีวิตอยู่ในบ้านนะครับ”
ครับที่ผมเล่ามานีคือตัวผมเองที่ปัจจุบันไม่สามารถออกไปทำงานที่ไหนได้ เพราะคำพูดของคุณหมอและที่บ้านไม่อนุญาตเพราะกลัวว่าจะไปวูบหมดสติอยู่ที่ไหน ปัจจุบันผมไม่มีความสุข เพราะไม่มีอิสระบนความห่วงใย ปัจจุบันไม่ต้องพูดถึง ไม่มีวันสดใสแน่นอนครับ
ผมเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่แปลกที่สุด ที่ท่านดาไลลามะกล่าวไว้
“…. เพราะเขาสละสุขภาพเพื่อหาเงิน และก็สละเงินเพื่อให้สุขภาพฟื้นกลับมา
เขาห่วงอนาคตมากจนไม่มีความสุขกับปัจจุบัน
ผลก็คือเขาไม่อยู่ทั้งปัจจุบันและอนาคต เขาอยู่เหมือนจะไม่มีวันตาย และท้ายสุด เขาก็ตายอย่างไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง”
ถึงตอนนี้ผมนึกถึงคำเตือนสติของท่าน มหาตมะ คานธี ที่กล่าวไว้ว่า
ความมั่งคั่งที่แท้จริง คือการมีสุขภาพที่ดี มิใช่การมั่งมีเงินทอง
สำหรับผม ตอนนี้มันสายไปแล้ว แต่ผมไม่อยากให้คุณสายไปสำหรับการรักษาความมั่งคั่งที่แท้จริงของคุณไว้นะคะ